Frida Kahlo and her Millennial Daughters
คุณแม่ฟรีด้า คาห์โล และลูกๆชาวมิลเลนเนียลของเธอ
(first published on THEMOMENTUM.CO)
บทความนี้แปลงมาจากโปรเจ็คต์ของเราในวิชา “ประวัติศาสตร์แฟชั่นปี 1900s - ปัจจุบัน” ตอนเราเรียนที่มิลาน อาจารย์มอบ “แฟชั่นไอคอนแห่งประวัติศาสตร์” ให้กับนักเรียนทีละคน เพื่อให้นำไปศึกษาและทำเป็นโปรเจ็กต์มาพรีเซนต์ตอนจบเทอม จะเขียนในแง่ไหนก็ได้ โดยมีกฏว่าต้องสามารถดึงเอา fashion legacy ที่ไอคอนเหล่านี้ทิ้งไว้ในโลกปัจจุบันออกมา
“ของเธอ….อะมีเลีย แอร์ฮาร์ท”
“เธอ….ซิโมน เดอ โบวัวร์”
“ของเธอ...เกรซ โจนส์”
ตอนที่อาจารย์เรียกชื่อเราและบอกว่า “ของเธอ… ฟรีด้า คาห์โล” เราแอบกรี๊ดอยู่ในใจ
แม่ลงว่ะ!
….
ทุกวันนี้สตรีผู้มีความคูลเป็นพิเศษเราจะเรียกเธอว่า “แม่” และถ้าเธอแม่ยิ่งกว่าแม่เธอจะได้เป็น “ยาย” ระบบการเรียกแบบนี้เรารู้สึกว่าน่ารักดี เลยหยิบเอามาเขียนเป็นโปรเจ็กต์เสียเลย
ว่า ฟรีด้า คาห์โลไม่ได้เป็นเพียงแม่แห่งสไตล์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ดีไซเนอร์มากมายเท่านั้น แต่เป็น “แม่” ทางวัฒนธรรมที่ผลิต “ลูกๆ” ในยุคมิลเลียนเนียลมากมายอีกด้วย
ฟรีด้า คาห์โลเป็นใคร?
จิตรกรชาวเม็กซิกันผู้นี้ “เลือก” ที่จะเกิดในปี 1910 เพราะเธอต้องการเกิดใหม่พร้อมกับประเทศเม็กซิโกจากการปฏิวัติ ชีวิตส่วนตัวของเธอได้ส่งผลต่อวงการศิลปะรวมไปถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองมากมาย ฟรีด้าเสียชีวิตด้วยวัยเพียง 27 หลังการต่อสู้กับโรคร้ายและความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจมาตลอดหลายปี ผลงานศิลปะของของเธออยู่ในหมวด surrealism และภาพหลักๆที่เรารู้จักกันมักจะเป็นผลงานชนิด self-portrait จะเรียกว่ามารดาแห่งการเซล์ฟี่ก่อนยุคเซล์ฟี่ก็ว่าได้
หากเราเพ่งมองอีกซักนิดก็คงสามารถวิจารณ์การเซลฟี่ในโลกใหม่ว่าเป็นการ construct ตัวตนผ่านทางภาพถ่ายด้วยตัวเอง ฟรีด้าเองก็แสดงตัวตนและจิตใจของเธอผ่านสื่อที่เรียกว่าภาพวาดเช่นกัน
ชีวิตของเธอมีความเป็นขบถอยู่ในเลือด ฟรีด้าเปิดเผยว่าตนเป็นไบเซ็กช่วลแม้จะแต่งงานกับจิตกรเอกชาวเม็กซิกันอีกคน ดิเอโก ริเวร่า ไปแล้ว (คู่ของแม่มีทั้งลีออน ทร็อตสกีย์จนถึงโจเซฟีน เบเกอร์เลยนะ ยอมแม่สิ!) สไตล์ส่วนตัวของเธอที่ทำให้เธอกลายเป็นแฟชั่น ไอคอนจะเน้นชุดพื้นเมืองแบบเม็กซิกัน, มงกุฎดอกไม้, คิ้วเส้นเดียวเปรี้ยวสุดๆ และลุคแบบมัสคิวลิน
และแม้ว่าฟรีด้าจะไม่เคยประกาศตัวว่า “ฉันเป็นเฟมินิสต์จ้า” แต่การใช้ชีวิตของแม่ก็ตรงต่อความเป็นเฟมินิสต์อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งมั่นในอาชีพจิตรกรซึ่งสมัยก่อนไม่ว่าจะเป็น “อาชีพ” หรือ “การวาดรูป” ก็เป็นเรื่องของผู้ชาย โลกของผู้ชาย
การที่เราเรียกฟรีด้าว่าเป็น “แม่” ทางวัฒนธรรมก็เพราะว่า legacy ที่เธอทิ้งเอาไว้ให้ไม่ได้มีเพียงสไตล์พื้นเมืองและสีสันสวยงามเท่านั้น แต่ภายใต้ภาพสีน้ำมันนับร้อย เธอได้สร้างผลผลิตที่มอบพลังทางการแสดงออกของผู้หญิงเอาไว้มากมาย
ลูกคนที่ 1 ในการแสดงออกถึงความเป็นหญิง: Tavi Gevinson
ฟรีด้าไม่เคยลังเลที่จะพูดถึงประเด็นที่ exclusive เฉพาะกับผู้หญิงผ่านทางภาพวาด โดยเฉพาะความเจ็บปวดในจิตใจ เช่น การแท้งลูก หรือความเป็นแม่ โดยเฉพาะผลงานที่ชื่อ “Henry Ford Hospital” (1932) ที่เห็นได้ชัดที่สุด ฟรีด้าวาดภาพตัวเองบนเตียงโรงพยาบาล และถูกรายล้อมด้วยสิ่งต่างๆที่ทำให้เธอเจ็บปวด พันธนาการเอาไว้ด้วยเส้นสีแดงที่เหมือนสายสะดือ และหนึ่งในความเจ็บปวดนั้นคือทารกเพศชาย ลูกของเธอกับดิเอโก ที่ฟรีด้าไม่สามารถให้กำเนิดได้และต้องสูญเสียไป
Henry Ford Hospital (The Flying Bed), 1932 by Frida Kahlo --- // fridakahlo.org
เรามองว่าการแสดงออกถึงความรู้สึกแบบที่ “มีเฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่เข้าใจ” ก็เป็นการแสดงออกถึงความเป็นเฟมินิสต์ชนิดหนึ่งเช่นกัน ก่อนยุคของฟรีด้า ศิลปินหญิงที่พยายามแสดงออกถึงความเจ็บปวดในจิตใจมักถูกมองว่าเป็นคนบ้า วิกลจริต แต่ในขณะเดียวกันหากเป็นชายแล้วความ “บ้า” จะถูกเรียกว่า “อารมณ์หดหู่ของศิลปิน” (ให้ตายเถอะ) ในหลายแขนงของสตรีนิยมนั้น การไม่อึกอักหรือคิดว่าความเป็นหญิงนั้นน่าอายก็เรียกได้ว่าเป็นการ empower ที่สำคัญและทำได้มากขึ้นในยุคปัจจุบัน
สื่อที่ฟรีด้าใช้แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาคือภาพวาด แต่ทาวี่ เกวินสัน แฟชั่นอินฟลูเอนเซอร์วัยเยาว์คนดังนั้นเลือกจะใช้ “บล็อก” และ “เว็บไซต์” ในการเล่าเรื่องของเด็กผู้หญิงเพื่อเด็กผู้หญิง ผลงานเขียนและมุมมองต่อแฟชั่นที่น่าตื่นตาตื่นใจได้พาทาวี่ไปนั่งอยู่บน ฟร้อนท์ โรว์ ของโชว์ดิออร์กูตูร์ตั้งแต่อายุเพียง 13 ปี
ปัจจุบันบล็อกของทาวี่ได้กลายร่างเป็นเว็บไซต์ Style Rookie ซึ่งเป็นเหมือนใบเบิกทางและคอมมิวนิตี้ที่สร้างมาเพื่อให้เด็กผู้หญิงวัยนี้ได้เรียนรู้ความเป็นไปของโลกและศึกษาความรู้สึกของตัวเองผ่านทางงานเขียนและศิลปะ โดยเปิดกว้างให้พูดถึงเรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็นการกดดันจากเพื่อน (peer pressure) หรือความสงสัยในเพศสภาพของตัวเอง แถมไปด้วย printables มากมายให้เล่นสนุกและคลุกคลีกับศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ ตัวเว็บไซต์สีชมพูและทุกอย่างที่ดูแฟมินีนเหมือนกำลังปลอบเราอยู่ว่า ต่อให้ชอบอะไรแบบผู้หญิงๆ ต่อให้มีความเจ็บปวดในจิตใจ เราก็สามารถสร้างสรรค์และแข็งแกร่งขึ้นได้เช่นกัน
ลูกคนที่ 2 ในความงาม: The Hairy Legs Club
ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพจำของฟรีด้านั้นแน่นอนว่ามาพร้อมคิ้วเดียวปลิงๆและหนวดหรอมแหรม และนั่นคือการขัดต่อกฏความงามของสตรีที่ว่าด้วยการมีคิ้วสวยเบาและร่างกายกันไร้ขนส่วนเกิน
และแม้เราจะไม่รู้แน่ชัดว่าสมัยนั้นมีแว็กซ์ดีๆหรือไม่ การเลือกที่จะไม่โกนขนตามขนบธรรมเนียมความงามนั้นก็เป็น political statement ที่ฟรีด้าเลือกจะใช้เพื่อแสดงให้เห็นจุดยืนของเธอว่าจะไม่ทำตามกฏความงามในสมัยนั้น
เช่นเดียวกับกลุ่ม Hairy Legs Club ใน tumblr ซึ่งเป็นที่รวมตัวของเหล่าสาวขนอุยผู้เลือกที่จะไม่โกนขนขา เพจนี้เต็มไปด้วยๆสาวๆที่ถ่ายรูปขนหน้าแข้งของตัวเองลงแล้วมาดีเบตกันว่า “ขนบนร่างกายของฉันนั้นมันน่ารังเกียจขนาดนั้นจริงๆหรอ?” ซึ่งการโกนหรือไม่โกนขนในส่วนใดๆของร่างกายตัวเองมันก็คือสิทธิส่วนบุคคลไม่ใช่หรือ? ขอเพียงรักษาความสะอาดได้ดีและไม่มีกลิ่นรบกวนคนอื่นก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง?
เรื่องการไม่โกนขนบนร่างการของสตรีนั้นมีหลายเหตุผลด้วยกัน บ้างก็เพราะวัฒนธรรม บ้างก็เป็นเพราะศาสนา หรือแม้แต่เป็น challenge ที่ทำกันเล่นๆอย่างอย่าง No Shave November แต่การเลือกที่จะไม่โกนขนเพื่อแสดงความขบฎต่อกฏแห่งความงามที่สังคมเป็นคนสร้างนั้นคือหนึ่งใน legacy ที่ฟรีด้าทิ้งเอาไว้ให้ไม่ผิดแน่
ลูกคนที่ 3 ในความภูมิใจทางเชื้อชาติ: Amandla Stenberg
ฟรีด้ามีความภูมิใจในความเป็นเม็กซิกันมาก เสื้อผ้าที่เธอมักสวมเรียกว่าชุดเดรสยาวพื้นเมืองที่เรียกว่า Tehuana Dress มีการถกเถียงกันเรื่องการเลือกสวมชุดของฟรีด้ามากว่าเป็นสไตล์ส่วนตัวของเธอเอง เป็นการเลือกสวมชุดเพื่อปกปิดขาลีบเล็กจากโรคโปลิโอ หรือว่าเป็นการเอาใจสามีที่เคร่งครัดในความสมบูรณ์แบบของ Mexicanidad มาก แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเปิดกรุชุดส่วนตัวของฟรีด้าออกมา เราพบว่าเธอเลือกจะสวมเพียงชุดเดรส tehuana เท่านั้น
สไตล์แฟชั่นแบบพื้นเมืองเมื่อผ่านทางฟรีด้า คาห์โลนั้นได้สร้างแรงบันดาลใจให้คอลเล็คชั่นแฟชั่นระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Valentino หรือ Jean Paul Gaultier ก็ตาม แต่หากเราแตะเพียงแค่ภาพผิวเผินก็คงจะไม่มีความพิเศษอะไรมากไปกว่าสไตล์แบบพื้นเมือง เรามามองให้ลึกไปกว่านั้นดีกว่า
เรื่องที่น่าสนใจคือชุดเดรสยาวนั้นเป็นชุดพื้นเมืองของบริเวณ Tehuantepec ของประเทศเม็กซิโก ซึ่งเป็นสังคมมาตาธิปไตย ที่มีผู้หญิงเป็นผู้นำครอบครัว ว่ากันว่าฟรีด้าน่าจะเลือกชุดพื้นเมืองของท้องถิ่นนี้เพื่อแสดงถึงความเชื่อในพลังของผู้หญิง และยิ่งไปกว่านั้น พลังของผู้หญิงเม็กซิกัน
กลับมาที่โลกปัจจุบัน ในยุคที่ cultural appropriation เป็นเรื่องสำคัญของวงการแฟชั่น มันเรื่องใหญ่ที่ชาติทางตะวันตกให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในสังคมอเมริกันที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากชาติพันธุ์รวมกันอยู่ในประเทศเดียว เราขอเลือกพูดถึงความภูมิใจในเชื่อสายแอฟริกันก็แล้วกัน ซึ่งถึงแม้จะเป็นคนละเชื้อชาติแต่ความภูมิใจในความเป็น “Ethnic Women” ก็เรียกว่าเป็นจุดรวมใจได้อยู่ดี
ซึ่งเรื่องที่ อแมนดลา สเตนเบิร์ก เลือกที่จะพูดถึงก็คือผมธรรมชาติของคนเชื้อสายแอฟริกัน ไม่ว่าจะเป็นผมหยิกแบบแอโฟร มวยบันทู (bantu knots) หรือถักผมแบบคอร์นโรว์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สมัยก่อนคนขาวต่างก็ตั้งแง่รังเกียจ มองว่าเป็นความสกปรก และถึงแม้ทุกวันนี้ความเท่าเทียมนั้นไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ทางวัฒนธรรม โดยคนก็ยังมองวัฒนธรรมและสไตล์แบบอัฟริกันเป็นสิ่งชั้นล่างและป่าเถื่อนอยู่ แต่เมื่อคนขาวทำผมแบบคอร์นโรว์บ้าง กลับกลายเป็นความเท่และเก๋ไก๋ โดยที่ยังคงเหยียดคนดำที่ทำผมแบบนั้นว่าสกปรกอยู่ (ทั้งๆที่มันเป็นผมธรรมชาติ(โว้ย))
อแมนดลาเลือกวิธีสร้าง youtube video ชื่อ “Don’t Cash Crop on my Cornrows” เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความไม่เท่าเทียมทรงวัฒนธรรมนี้ และตัวเธอเองก็ไว้ผมทรงธรรมชาติแบบแอฟริกัน ซึ่งดูสวยงามและเท่มาก หนังฮอลลีวู้ดที่เพิ่งออกอย่าง The Black Panthers ก็แสดงภาพผู้หญิงชาวแอฟริกันไว้ผมตามธรรมชาติ ความภูมิใจในเชื้อชาติของผู้หญิงนั้นเป็นหนึ่งใน legacy ที่ฟรีด้าและ ethnic women อีกหลายร้อยคนทิ้งเอาไว้ให้คนรุ่นหลังในยุคโลกาภิวัตน์ที่โลกแคบลงเรื่อยๆ
ผลผลิตของแม่ฟรีด้า
กลับมาที่ว่าทำไมฟรีด้าถึงยังคงอิทธิพลต่อสาวๆในยุคมิลเลียเนียลมากขนาดนี้?
ก็เพราะทุกอย่างที่งานของฟรีด้าและตัวตนของเธอสื่อออกมา ยังคงเป็นเรื่องที่ควรจะต้องพูดถึงกันอยู่ในทุกวันนี้น่ะสิ
ไม่ว่าจะเรื่องสิทธิสตรี ความงาม หรือการเหยียดชาติพันธุ์ เรื่องไหนๆก็ยังคงเป็นปัญหาของสังคมยุคปัจจุบันอยู่ทั้งนั้น แม้ว่าจะผ่านยุคของแม่มาแล้วถึงหลายสิบปีก็ตาม และการสื่อสารด้วย visual ของฟรีด้า ก็ยังเป็นสไตล์ที่คงความร่วมสมัยอยู่เสมอ แค่เปลี่ยนจากภาพเขียนสีน้ำมัน เป็นช่องทางคอมมิวนิตี้ออนไลน์ต่างๆ
โลกของผู้หญิงยุคมิลเลนเนียลนั้นอบอุ่นกว่าห้องโรงพยาบาลเหงาๆของฟรีด้ามาก แต่เธอไม่เคยหยุดแสดงออกถึงสิ่งที่เธอให้ความสำคัญ และมอบความกล้าให้ผู้คนมากมายผ่านทางภาพเขียนแม้ร่างกายจะเจ็บปวด อิสระภาพในการแสดงออกของผู้หญิงคือสิ่งที่ฟรีด้าทิ้งเอาไว้ให้ และเป็น legacy ที่ควรถูกพูดถึงมากกว่าแค่มงกุฎดอกไม้หรือคิ้วเส้นเดียวหนาๆมากนัก
As seen on The Momentum.co