Frida Kahlo and her Millennial Daughters

คุณแม่ฟรีด้า คาห์โล และลูกๆชาวมิลเลนเนียลของเธอ

(first published on THEMOMENTUM.CO)

29066394_10155224853755143_194862103578804224_n.jpg
 

บทความนี้แปลงมาจากโปรเจ็คต์ของเราในวิชา “ประวัติศาสตร์แฟชั่นปี 1900s - ปัจจุบัน” ตอนเราเรียนที่มิลาน อาจารย์มอบ “แฟชั่นไอคอนแห่งประวัติศาสตร์” ให้กับนักเรียนทีละคน เพื่อให้นำไปศึกษาและทำเป็นโปรเจ็กต์มาพรีเซนต์ตอนจบเทอม จะเขียนในแง่ไหนก็ได้ โดยมีกฏว่าต้องสามารถดึงเอา fashion legacy ที่ไอคอนเหล่านี้ทิ้งไว้ในโลกปัจจุบันออกมา

“ของเธอ….อะมีเลีย แอร์ฮาร์ท”

“เธอ….ซิโมน เดอ โบวัวร์”

“ของเธอ...เกรซ โจนส์”

ตอนที่อาจารย์เรียกชื่อเราและบอกว่า “ของเธอ… ฟรีด้า คาห์โล” เราแอบกรี๊ดอยู่ในใจ

แม่ลงว่ะ!

….

ทุกวันนี้สตรีผู้มีความคูลเป็นพิเศษเราจะเรียกเธอว่า “แม่” และถ้าเธอแม่ยิ่งกว่าแม่เธอจะได้เป็น “ยาย” ระบบการเรียกแบบนี้เรารู้สึกว่าน่ารักดี เลยหยิบเอามาเขียนเป็นโปรเจ็กต์เสียเลย

ว่า ฟรีด้า คาห์โลไม่ได้เป็นเพียงแม่แห่งสไตล์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ดีไซเนอร์มากมายเท่านั้น แต่เป็น “แม่” ทางวัฒนธรรมที่ผลิต “ลูกๆ” ในยุคมิลเลียนเนียลมากมายอีกด้วย

 
28959059_10155224853760143_2374365785037471744_n.jpg
 

ฟรีด้า คาห์โลเป็นใคร?

จิตรกรชาวเม็กซิกันผู้นี้ “เลือก” ที่จะเกิดในปี 1910 เพราะเธอต้องการเกิดใหม่พร้อมกับประเทศเม็กซิโกจากการปฏิวัติ ชีวิตส่วนตัวของเธอได้ส่งผลต่อวงการศิลปะรวมไปถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองมากมาย ฟรีด้าเสียชีวิตด้วยวัยเพียง 27 หลังการต่อสู้กับโรคร้ายและความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจมาตลอดหลายปี ผลงานศิลปะของของเธออยู่ในหมวด surrealism และภาพหลักๆที่เรารู้จักกันมักจะเป็นผลงานชนิด self-portrait จะเรียกว่ามารดาแห่งการเซล์ฟี่ก่อนยุคเซล์ฟี่ก็ว่าได้

หากเราเพ่งมองอีกซักนิดก็คงสามารถวิจารณ์การเซลฟี่ในโลกใหม่ว่าเป็นการ construct ตัวตนผ่านทางภาพถ่ายด้วยตัวเอง ฟรีด้าเองก็แสดงตัวตนและจิตใจของเธอผ่านสื่อที่เรียกว่าภาพวาดเช่นกัน

ชีวิตของเธอมีความเป็นขบถอยู่ในเลือด ฟรีด้าเปิดเผยว่าตนเป็นไบเซ็กช่วลแม้จะแต่งงานกับจิตกรเอกชาวเม็กซิกันอีกคน ดิเอโก ริเวร่า ไปแล้ว (คู่ของแม่มีทั้งลีออน ทร็อตสกีย์จนถึงโจเซฟีน เบเกอร์เลยนะ ยอมแม่สิ!) สไตล์ส่วนตัวของเธอที่ทำให้เธอกลายเป็นแฟชั่น ไอคอนจะเน้นชุดพื้นเมืองแบบเม็กซิกัน, มงกุฎดอกไม้, คิ้วเส้นเดียวเปรี้ยวสุดๆ และลุคแบบมัสคิวลิน

และแม้ว่าฟรีด้าจะไม่เคยประกาศตัวว่า “ฉันเป็นเฟมินิสต์จ้า” แต่การใช้ชีวิตของแม่ก็ตรงต่อความเป็นเฟมินิสต์อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการมุ่งมั่นในอาชีพจิตรกรซึ่งสมัยก่อนไม่ว่าจะเป็น “อาชีพ” หรือ “การวาดรูป” ก็เป็นเรื่องของผู้ชาย โลกของผู้ชาย

การที่เราเรียกฟรีด้าว่าเป็น “แม่” ทางวัฒนธรรมก็เพราะว่า legacy ที่เธอทิ้งเอาไว้ให้ไม่ได้มีเพียงสไตล์พื้นเมืองและสีสันสวยงามเท่านั้น แต่ภายใต้ภาพสีน้ำมันนับร้อย เธอได้สร้างผลผลิตที่มอบพลังทางการแสดงออกของผู้หญิงเอาไว้มากมาย

 

ลูกคนที่ 1 ในการแสดงออกถึงความเป็นหญิง: Tavi Gevinson

29026319_10155224853820143_3083272234849009664_o.jpg
 

ฟรีด้าไม่เคยลังเลที่จะพูดถึงประเด็นที่ exclusive เฉพาะกับผู้หญิงผ่านทางภาพวาด โดยเฉพาะความเจ็บปวดในจิตใจ เช่น การแท้งลูก หรือความเป็นแม่ โดยเฉพาะผลงานที่ชื่อ “Henry Ford Hospital” (1932) ที่เห็นได้ชัดที่สุด ฟรีด้าวาดภาพตัวเองบนเตียงโรงพยาบาล และถูกรายล้อมด้วยสิ่งต่างๆที่ทำให้เธอเจ็บปวด พันธนาการเอาไว้ด้วยเส้นสีแดงที่เหมือนสายสะดือ และหนึ่งในความเจ็บปวดนั้นคือทารกเพศชาย ลูกของเธอกับดิเอโก ที่ฟรีด้าไม่สามารถให้กำเนิดได้และต้องสูญเสียไป                                                                             

 
Henry Ford Hospital (The Flying Bed), 1932 by Frida Kahlo --- // fridakahlo.org

Henry Ford Hospital (The Flying Bed), 1932 by Frida Kahlo --- // fridakahlo.org

 

เรามองว่าการแสดงออกถึงความรู้สึกแบบที่ “มีเฉพาะผู้หญิงเท่านั้นที่เข้าใจ” ก็เป็นการแสดงออกถึงความเป็นเฟมินิสต์ชนิดหนึ่งเช่นกัน ก่อนยุคของฟรีด้า ศิลปินหญิงที่พยายามแสดงออกถึงความเจ็บปวดในจิตใจมักถูกมองว่าเป็นคนบ้า วิกลจริต แต่ในขณะเดียวกันหากเป็นชายแล้วความ “บ้า” จะถูกเรียกว่า “อารมณ์หดหู่ของศิลปิน” (ให้ตายเถอะ) ในหลายแขนงของสตรีนิยมนั้น การไม่อึกอักหรือคิดว่าความเป็นหญิงนั้นน่าอายก็เรียกได้ว่าเป็นการ empower ที่สำคัญและทำได้มากขึ้นในยุคปัจจุบัน

สื่อที่ฟรีด้าใช้แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาคือภาพวาด แต่ทาวี่ เกวินสัน แฟชั่นอินฟลูเอนเซอร์วัยเยาว์คนดังนั้นเลือกจะใช้ “บล็อก” และ “เว็บไซต์” ในการเล่าเรื่องของเด็กผู้หญิงเพื่อเด็กผู้หญิง ผลงานเขียนและมุมมองต่อแฟชั่นที่น่าตื่นตาตื่นใจได้พาทาวี่ไปนั่งอยู่บน ฟร้อนท์ โรว์ ของโชว์ดิออร์กูตูร์ตั้งแต่อายุเพียง 13 ปี

ปัจจุบันบล็อกของทาวี่ได้กลายร่างเป็นเว็บไซต์ Style Rookie ซึ่งเป็นเหมือนใบเบิกทางและคอมมิวนิตี้ที่สร้างมาเพื่อให้เด็กผู้หญิงวัยนี้ได้เรียนรู้ความเป็นไปของโลกและศึกษาความรู้สึกของตัวเองผ่านทางงานเขียนและศิลปะ โดยเปิดกว้างให้พูดถึงเรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็นการกดดันจากเพื่อน (peer pressure) หรือความสงสัยในเพศสภาพของตัวเอง แถมไปด้วย printables มากมายให้เล่นสนุกและคลุกคลีกับศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ ตัวเว็บไซต์สีชมพูและทุกอย่างที่ดูแฟมินีนเหมือนกำลังปลอบเราอยู่ว่า ต่อให้ชอบอะไรแบบผู้หญิงๆ ต่อให้มีความเจ็บปวดในจิตใจ เราก็สามารถสร้างสรรค์และแข็งแกร่งขึ้นได้เช่นกัน

 

ลูกคนที่ 2 ในความงาม: The Hairy Legs Club

29027941_10155224853950143_4513575062577610752_o.jpg
 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพจำของฟรีด้านั้นแน่นอนว่ามาพร้อมคิ้วเดียวปลิงๆและหนวดหรอมแหรม และนั่นคือการขัดต่อกฏความงามของสตรีที่ว่าด้วยการมีคิ้วสวยเบาและร่างกายกันไร้ขนส่วนเกิน

และแม้เราจะไม่รู้แน่ชัดว่าสมัยนั้นมีแว็กซ์ดีๆหรือไม่ การเลือกที่จะไม่โกนขนตามขนบธรรมเนียมความงามนั้นก็เป็น political statement ที่ฟรีด้าเลือกจะใช้เพื่อแสดงให้เห็นจุดยืนของเธอว่าจะไม่ทำตามกฏความงามในสมัยนั้น

 
29026330_10155224853815143_7192695354523910144_o.jpg
 

เช่นเดียวกับกลุ่ม Hairy Legs Club ใน tumblr ซึ่งเป็นที่รวมตัวของเหล่าสาวขนอุยผู้เลือกที่จะไม่โกนขนขา เพจนี้เต็มไปด้วยๆสาวๆที่ถ่ายรูปขนหน้าแข้งของตัวเองลงแล้วมาดีเบตกันว่า “ขนบนร่างกายของฉันนั้นมันน่ารังเกียจขนาดนั้นจริงๆหรอ?” ซึ่งการโกนหรือไม่โกนขนในส่วนใดๆของร่างกายตัวเองมันก็คือสิทธิส่วนบุคคลไม่ใช่หรือ? ขอเพียงรักษาความสะอาดได้ดีและไม่มีกลิ่นรบกวนคนอื่นก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง?

เรื่องการไม่โกนขนบนร่างการของสตรีนั้นมีหลายเหตุผลด้วยกัน บ้างก็เพราะวัฒนธรรม บ้างก็เป็นเพราะศาสนา หรือแม้แต่เป็น challenge ที่ทำกันเล่นๆอย่างอย่าง No Shave November แต่การเลือกที่จะไม่โกนขนเพื่อแสดงความขบฎต่อกฏแห่งความงามที่สังคมเป็นคนสร้างนั้นคือหนึ่งใน legacy ที่ฟรีด้าทิ้งเอาไว้ให้ไม่ผิดแน่

 

ลูกคนที่ 3 ในความภูมิใจทางเชื้อชาติ: Amandla Stenberg

29136371_10155224853965143_4659619854905507840_o.jpg
 

ฟรีด้ามีความภูมิใจในความเป็นเม็กซิกันมาก เสื้อผ้าที่เธอมักสวมเรียกว่าชุดเดรสยาวพื้นเมืองที่เรียกว่า Tehuana Dress มีการถกเถียงกันเรื่องการเลือกสวมชุดของฟรีด้ามากว่าเป็นสไตล์ส่วนตัวของเธอเอง เป็นการเลือกสวมชุดเพื่อปกปิดขาลีบเล็กจากโรคโปลิโอ หรือว่าเป็นการเอาใจสามีที่เคร่งครัดในความสมบูรณ์แบบของ Mexicanidad มาก แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเปิดกรุชุดส่วนตัวของฟรีด้าออกมา เราพบว่าเธอเลือกจะสวมเพียงชุดเดรส tehuana เท่านั้น

สไตล์แฟชั่นแบบพื้นเมืองเมื่อผ่านทางฟรีด้า คาห์โลนั้นได้สร้างแรงบันดาลใจให้คอลเล็คชั่นแฟชั่นระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Valentino หรือ Jean Paul Gaultier ก็ตาม แต่หากเราแตะเพียงแค่ภาพผิวเผินก็คงจะไม่มีความพิเศษอะไรมากไปกว่าสไตล์แบบพื้นเมือง เรามามองให้ลึกไปกว่านั้นดีกว่า

เรื่องที่น่าสนใจคือชุดเดรสยาวนั้นเป็นชุดพื้นเมืองของบริเวณ Tehuantepec ของประเทศเม็กซิโก ซึ่งเป็นสังคมมาตาธิปไตย ที่มีผู้หญิงเป็นผู้นำครอบครัว ว่ากันว่าฟรีด้าน่าจะเลือกชุดพื้นเมืองของท้องถิ่นนี้เพื่อแสดงถึงความเชื่อในพลังของผู้หญิง และยิ่งไปกว่านั้น พลังของผู้หญิงเม็กซิกัน

 
29062942_10155224854195143_1081085599600869376_o.jpg
 

กลับมาที่โลกปัจจุบัน ในยุคที่ cultural appropriation เป็นเรื่องสำคัญของวงการแฟชั่น มันเรื่องใหญ่ที่ชาติทางตะวันตกให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะในสังคมอเมริกันที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากชาติพันธุ์รวมกันอยู่ในประเทศเดียว เราขอเลือกพูดถึงความภูมิใจในเชื่อสายแอฟริกันก็แล้วกัน ซึ่งถึงแม้จะเป็นคนละเชื้อชาติแต่ความภูมิใจในความเป็น “Ethnic Women” ก็เรียกว่าเป็นจุดรวมใจได้อยู่ดี

ซึ่งเรื่องที่ อแมนดลา สเตนเบิร์ก เลือกที่จะพูดถึงก็คือผมธรรมชาติของคนเชื้อสายแอฟริกัน ไม่ว่าจะเป็นผมหยิกแบบแอโฟร มวยบันทู (bantu knots) หรือถักผมแบบคอร์นโรว์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สมัยก่อนคนขาวต่างก็ตั้งแง่รังเกียจ มองว่าเป็นความสกปรก และถึงแม้ทุกวันนี้ความเท่าเทียมนั้นไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่ทางวัฒนธรรม โดยคนก็ยังมองวัฒนธรรมและสไตล์แบบอัฟริกันเป็นสิ่งชั้นล่างและป่าเถื่อนอยู่ แต่เมื่อคนขาวทำผมแบบคอร์นโรว์บ้าง กลับกลายเป็นความเท่และเก๋ไก๋ โดยที่ยังคงเหยียดคนดำที่ทำผมแบบนั้นว่าสกปรกอยู่ (ทั้งๆที่มันเป็นผมธรรมชาติ(โว้ย))

อแมนดลาเลือกวิธีสร้าง youtube video ชื่อ “Don’t Cash Crop on my Cornrows” เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความไม่เท่าเทียมทรงวัฒนธรรมนี้ และตัวเธอเองก็ไว้ผมทรงธรรมชาติแบบแอฟริกัน ซึ่งดูสวยงามและเท่มาก หนังฮอลลีวู้ดที่เพิ่งออกอย่าง The Black Panthers ก็แสดงภาพผู้หญิงชาวแอฟริกันไว้ผมตามธรรมชาติ ความภูมิใจในเชื้อชาติของผู้หญิงนั้นเป็นหนึ่งใน legacy ที่ฟรีด้าและ ethnic women อีกหลายร้อยคนทิ้งเอาไว้ให้คนรุ่นหลังในยุคโลกาภิวัตน์ที่โลกแคบลงเรื่อยๆ

 

ผลผลิตของแม่ฟรีด้า

กลับมาที่ว่าทำไมฟรีด้าถึงยังคงอิทธิพลต่อสาวๆในยุคมิลเลียเนียลมากขนาดนี้?

ก็เพราะทุกอย่างที่งานของฟรีด้าและตัวตนของเธอสื่อออกมา ยังคงเป็นเรื่องที่ควรจะต้องพูดถึงกันอยู่ในทุกวันนี้น่ะสิ

ไม่ว่าจะเรื่องสิทธิสตรี ความงาม หรือการเหยียดชาติพันธุ์ เรื่องไหนๆก็ยังคงเป็นปัญหาของสังคมยุคปัจจุบันอยู่ทั้งนั้น แม้ว่าจะผ่านยุคของแม่มาแล้วถึงหลายสิบปีก็ตาม และการสื่อสารด้วย visual ของฟรีด้า ก็ยังเป็นสไตล์ที่คงความร่วมสมัยอยู่เสมอ แค่เปลี่ยนจากภาพเขียนสีน้ำมัน เป็นช่องทางคอมมิวนิตี้ออนไลน์ต่างๆ

โลกของผู้หญิงยุคมิลเลนเนียลนั้นอบอุ่นกว่าห้องโรงพยาบาลเหงาๆของฟรีด้ามาก แต่เธอไม่เคยหยุดแสดงออกถึงสิ่งที่เธอให้ความสำคัญ และมอบความกล้าให้ผู้คนมากมายผ่านทางภาพเขียนแม้ร่างกายจะเจ็บปวด อิสระภาพในการแสดงออกของผู้หญิงคือสิ่งที่ฟรีด้าทิ้งเอาไว้ให้ และเป็น legacy ที่ควรถูกพูดถึงมากกว่าแค่มงกุฎดอกไม้หรือคิ้วเส้นเดียวหนาๆมากนัก


As seen on The Momentum.co

WriteParisa Bunnag